พักผ่อนก่อน.....ออก
8-10 เมษายน 54
หลังจากวันเครียดๆที่ผ่านมาเมื่อตอนต้นเดือน ทุกอย่างที่คาดหวัง ความพยายามที่จะรักษาความรู้สึกดีๆต่อกัน ก็หมดไป ตัดสินใจ เสียใจ และทำใจ จนมาถึงวันนี้ วันที่ทุกอย่างพร้อม ทั้งกายและใจ ที่จะกล้าทำสิ่งที่เป็นความต้องการของตนเองอย่างเต็มที่และไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดที่จะต้องเผชิญในวันข้างหน้า นั่นคือ การออกเดินทาง....
8 เมษายน การเริ่มต้นของการเดินทางได้เริ่มขึ้น
ผมออกเดินทางจากกรุงเทพ ประมาณเที่ยงกว่าๆ มานัดรวมพลที่ปั้ม ปตท.พุทธมณฑล มาเจอกับคณะของพ่อ ที่มาจากจันทบุรี ราวสองโมงกว่า จึงเดินทางสู่สวนผึ้ง ด้วยรถส่วนตัว 3 คัน โดยขับตามๆกันไป
ใช้เวลาไม่นานนัก ราวสองชั่วโมงกว่า โดยใช้เส้นทางนครปฐม ราชบุรี เลี้ยวขวาที่แยกเขางู มาตามเส้นทางชัชป่าหวาย มุ่งหน้าสู่อำเภอสวนผึ้ง ผ่านโรงพยาบาลสวนผึ้ง และผ่านป้ายเรียงรายของสถานที่พักตากอากาศทั้งหลายที่มีอยู่มากมายเหลือเกิน ยากที่จะอ่านและจดจำได้ทัน
สถานที่แรกที่ผมและชาวคณะมาแวะกันก็คือ ที่ซินเนอรี่ สถานที่พักผ่อนและมีฟาร์มเลี้ยงแกะที่เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวน้อยใหญ่ ได้เข้ามาถ่ายรูปร่วมกับแกะ ได้ให้อาหารแกะ “ต้นหญ้าเนเปีย” และมีของที่ระลึกไว้จำหน่าย ช่วยเพิ่มความประทับใจในการเดินทางมายังที่แห่งนี้อีกด้วย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่ผมโทรหาพี่สมหมาย เจ้าของที่พักที่เรากำลังจะไป หรืออาจพูดได้ว่าขับรถเลยไปเลยมา น่าจะเหมาะสมกว่า เราทั้งหมดก็ได้มาถึงที่พักแห่งนี้เสียที ธารพฤกษา water and tree bari house ของพี่สมหมาย
ซึ่งแกเป็นรุ่นพี่ที่เคยเรียนเพาะช่าง แล้วครั้งหนึ่งแกก็คงเต็มอิ่มกับชีวิตเมืองหลวง จึงหันหน้าเข้าสู่ชีวิตป่าอันเป็นธรรมชาติที่แกต้องการ พร้อมเปิดบ้านหลังเล็กๆให้ผู้ที่มีความชื่นชมธรรมชาติอย่างพี่สมหมายได้เข้ามาสัมผัสชีวิตที่เรียบง่ายปราศจากการแข่งขัน ในรูปแบบของแกบ้าง
เหตุประกอบที่ทำให้เราได้มาที่นี่ก็คือ อาจารย์วิวัฒน์กับอาแต๋ว ก็เป็นเด็กเพาะช่างเหมือนกัน ความสนิทสนม ปากต่อปาก ทำให้เราได้มาพบกันในสถานที่แห่งนี้ โดยมิต้องสงสัย
ที่พักของพี่สมหมายเป็นสถานที่พักแนวธรรมชาติล้วนๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้และมีลำธารไหลผ่าน เมื่อแรกเห็นก็สามารถสำผัสได้เลยว่า สิ่งที่แกสร้างขึ้นมาทั้งหมดนี้ มิได้มาแค่วันสองวันนี้ แต่มันได้ถูกสั่งสม และเอาใจใส่ ด้วยความรักและความใส่ใจมาเป็นเวลานาน
เราต่างชื่นชมกับธรรมชาติและความเป็นกันเองของพี่เจ้าของที่คอยแนะนำสถานที่ให้เราอยู่ตลอดเวลา ไม่นานนักกับการเดินผ่านห้วยธารเล็กๆ เราก็เดินมาถึงบ้านพักที่จะเป็นที่นอนของเราในคืนนี้
บ้านพักของธารพฤกษา มีส่วนประกอบของไม้และหินน้ำตกล้วนๆ แถมยังแทรกตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก และหลังจากที่เราได้พักผ่อนตามอัธยาศัย ล้างหน้าล้างตา สูดอากาศบริสุทธิ์กันเต็มปอดแล้ว ท้องเราทั้งหลายก็เรียกร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “หิว”
ได้เวลาอาหารเย็นพอดี เราลงความเห็นกันว่า เราคงไม่ขับรถออกไปหาอะไรกินข้างนอกแล้ว เรากินอาหารค่ำกันที่ที่พักเลยดีกว่า ห้องอาหารที่นี่เป็นแนวธรรมชาติเช่นกัน อากาศเย็นสบาย สดชื่นด้วยสายลมที่ถูกกรองผ่านแนวไม้ ไม่ต้องอาศัยแอร์คอนดิชั่น เลยแม้แต่นิด ซ้ำยิ่งเป็นที่ถูกใจแกผู้มาเยือนอย่างเราด้วย
คาราโอเกะ บทเพลงบันเทิงอิสระ ที่มีไว้บริการอย่างมิน้อยหน้า ประกอบกับอาหารที่เสริฟด้วยความอบอุ่น เป็นกันเองโดยแม่ครัวชาวพม่า และลูกชาย “วายุ” เด็กวัย 12 ขวบ ที่เป็นลูกมือ ที่ขยันและคล่องแคล่วมากๆ
อาหารมื้อนี้เป็นแบบง่ายๆ อาทิเช่น ผัดผักกูดที่มีมากในช่วงนี้ ไข่เจียวที่ขาดไม่ได้ในทุกครั้งที่สั่งอาหาร ผัดผักรวมสำหรับผู้รักสุขภาพ ผัดเผ็ดเก้งอาหารป่าที่มีให้ลิ้มชิมรสได้ไม่บ่อยนัก เนื้อเก้งทอดออกรสเค็มเล็กน้อยกลมกล่อมด้วยเครื่องเทศ ปลานิลตัวเขื่องทอดราดด้วยน้ำจิ้มสไตล์พม่า และเบียร์ลีโอเย็นๆที่ขาดไม่ได้ในทุกๆเมนูเช่นกัน (เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปมาประกอบได้ เพราะ.......มาก)
พี่สมหมาย ให้เกียรติร้องเพลงคาราโอเกะกับคณะของเราอย่างเป็นกันเอง
ค่ำคืนที่ยาวนานกับอาหารอร่อยและบรรยากาศดีๆ เสียงจิ้งหรีด เสียงน้ำในลำธาร พาเราเพลินไปจนเวลายาวไปจวบจนใกล้เที่ยงคืน การพักผ่อนที่รอเราอยู่ข้างหน้าก็ได้เริ่มต้นต่อจากนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
9 เมษายน....
6 โมงเช้า...อากาศบริสุทธิ์สดชื่น เสียงของน้ำไหล ดังรอดผ่านหน้าต่าง ทำให้ผมมิอาจนอนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้นได้ ประกอบกับความที่อยากเห็นสายหมอกในยามเช้า จึงน้องรีบตื่นจากความงัวเงียในฉับพลัน
คงตื่นช้าไปหน่อย สายหมอกที่ต้องการเห็นไม่ได้อยู่ให้เราได้เชยชมแล้ว กลับเหลือเพียง น้ำใสๆเป็นประกายที่ไหลทอดยาวมาตามเส้นทางของลำธาร กระทบกับแสงแรกของรุ่งอรุณ ลมเย็นโชยโบกผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่อย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา เมื่อมองไปรอบๆแล้วนั้น บรรยากาศแบบนี้ มันช่างน่าฉงนและน่าค้นหาต่อไปเป็นยิ่งนัก
ไม่วายที่จะต้องหยิบกล้องที่มีอยู่ขึ้นมาจับภาพความประทับใจของสถานที่และทิวไม้ไว้สักหน่อย
อาบน้ำเสร็จ เตรียมกระเป๋าให้พร้อมสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป และก็ไปกินข้าวเช้าที่ทางรีสอร์ตได้จัดเตรียมไว้ให้ เป็นมื้อเช้าที่สบายๆไม่เร่งรีบ บริการตนเองด้วย ข้าวต้มหมูเห็ดหอม ชา กาแฟ แคร็กเกอร์กรอบ และมะละกอ ผลไม้สดๆจากทางไร่ ทุกอย่างเรียบง่ายและลงตัว อิ่มและสบายกาย
ได้เวลาที่จะอำลาสถานที่แห่งความประทับใจแห่งนี้แล้ว พี่สมหมาย แกกรุณามากกับค่าที่พักที่มิยอมเอ่ยปาก แม้นเพียงบอกว่า ไม่เป็นไร ผมขอคิดแค่หัวล่ะ 300 บาทล่ะกัน และค่าอาหารค่ำกับอาหารเช้าที่ผ่านมา ก็คิด 1,400 บาท เท่านั้นเอง ค่าคาราโอเกะแกไม่คิด สรุป เราได้พักบ้านหนึ่งหลัง สามห้องนอน แอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น พัก 7 คน รวม 2,100 บาท กับบรรยากาศสุดวิเศษ.....เป็นคุณ คุณคิดว่าจะกลับมาที่นี่อีกมั้ยล่ะ
การจากลาย่อมเกิดขึ้นทุกครั้งที่เรามีจุดหมายใหม่ข้างหน้ารอเราอยู่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน การกล่าวคำอำลากับพี่สมหมายได้ฝากความรู้สึกที่ดีๆหลายอย่างไว้ให้ซึ่งกันและกันอย่างแน่นอน และแน่นอน เราต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ ในไม่ช้า
********************************************************************************************
เกือบเที่ยงวันแล้วที่เราต้องออกจากที่พักของพี่สมหมาย จุดหมายที่ต้องให้ชาวคณะบางคนไม่เคยมาได้แวะชม และซื้อของฝาก นั่นก็คือ บ้านหอมเทียน
บ้านหอมเทียน เป็นสถานที่ที่รวบรวมงานศิลปะทางด้านศิลปกรรม ของงานเทียน ไว้มากมายหลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ได้เข้ามาชม ย่อมมิอาจอดใจไหวที่จะซื้อประติมากรรมเทียน กลับไปเป็นที่ระลึกและเอาไปฝากเพื่อนหรือคนรักได้
แต่วันนี้ อากาศค่อนข้างแปรปรวน ร้อนจัดแล้วจู่ๆก็ฝนตกซะงั้น
เราใช้เส้นทางเดิมในการเดินทางกลับ
ดูเหมือนจะใช้เวลาไม่นานเหมือนกับตอนขามา มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นเองหล่ะครับ
เดินทางใช้เวลาไม่นาน ที่จะรีบมาลงเรือที่บ้านดำเนิน เพราะเรานัดเรือนำเที่ยวที่เป็นญาติๆกันเอาไว้ เค้าคิดค่าการเดินทางไม่แพง เรือ 1 ลำ นั่งได้ 12 ที่นั่ง เขาคิด 1,200 บาท ไป-กลับ หลัก 5 ไปอัมพวา ระยะทางทางเรือราว 20 กว่ากิโล เห็นจะได้ ผมว่าคุ้มน่ะ ไม่แพง
แถมยังพาไปจอดให้เราได้เดินเล่นซื้อของที่อัมพวาด้วย
กุ้งลายเสือตัวเบ่อเริ่ม และอาหารทะเล ต่างๆมากมาย มีให้บริการย่างกันสดๆ อร่อยอย่างไม่ต้องบรรยาย
และขากลับก็ผ่านไปให้เราได้ชมความงามของเจ้าทิ้งถ่วง หรือเจ้าหิ่งห้อย ก่อนกลับบ้านยามอาทิตย์ลับขอบฟ้า
ขอแถมนิดหน่อย
ฟลุ๊กมาก...เจอเพื่อนโอมกับแฟน
โอมเป็นเพื่อนแถวบ้าน บ้านอยู่ใกล้กัน แต่ปกติจะเจอกันยาก เพราะต่างคนต่างทำงาน และกลับบ้านดึก แต่ไหง...มาเจอกันง่ายดาย ณ ที่แห่งนี้ซะงั้น
..................................................................................................
กลับถึงบ้านสวน ราว 2 ทุ่ม...พอขึ้นจากเรือก็ขึ้นรถต่อ ต่อไปยังร้านอาหารขวัญดำเนิน เป็นร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก จะว่าไป ร้านนี้ก็เหมือนร้านประจำของที่บ้านเลยก็ว่าได้ นึกอะไรไม่ออก ใครไปใครมา ก็ต้องมาร้านนี้ อร่อยครับ.....ตอบโจทย์ทุกอย่าง
อิ่มแล้วกับอาหารและบรรยากาศ ก็ได้เวลากลับบ้านไปพักผ่อนเสียที คืนนี้ต้องขอพูดคำว่า....ราตรีสวัสดิ์
แล้วพบกันในทริปต่อไปน่ะครับ............
หลังจากที่ผม ออก..................................................................เดินทางอีกครั้ง
เยอะมากกกกกกกกกกกกก อ่านได้แค่ครึ่งอะ แถมเสียดายสุดๆๆตรงอาหารเนี่ยแหละย่ะ ไม่มีให้ดู
ตอบลบอยากกินกุ้งงงงงงงงงงงงง